What happened to me during this past year? อัพเดตชีวิตในปีที่ผ่านมา ฉบับเหมือนคุยเล่าให้เพื่อนฟัง
รู้สึกว่าอยากเขียนเล่าชีวิตภาพรวมในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีที่ life changing แบบชีวิตกลับตลบัตรที่สุด จริง ๆ แล้วเขียนใน blog หรือใน Ig มาเรื่อย ๆ เป็นภาษาอังกฤษ (เพราะ struggle ในการที่จะ process เป็นภาษาไทย) แต่ว่ารู้สึกว่าอยากลองเล่าในแบบเหมือนเวลาเราเล่าให้เพื่อนฟัง เม้ามอยบ้าง คร่าว ๆ ลองดู
แพลนแรกคือ จะไปเรียนต่อโทที่ psychology 2023/24 ที่ Edinburgh แต่ end up my soul has a bigger plan for me
ตั้งแต่ moment ที่เหยียบพื้นดินที่นั่น fall in love with the city, so many amazing people และชอบสกอตแลนด์มาก ๆ
ได้มีเวลา explore nature spending time by myself กลับมานั่งกับตัวเอง reconnect with nature and the voices inside me healing my body senses, open up my intuition (more)
ลองทำ ig reel ถ่ายวิวสวย ๆ ของธรรมชาติสกอตแลนด์ เล่น ๆ สนุกดี ผู้ติดตามไม่เยอะเลยนะ แต่มันทำให้เราเริ่มเห็นด้านอีกด้านของตัวเองอีกครั้ง
มันเหมือนกลับไปสนุกแบบ ‘innocence’ ทำแค่เพราะใจชอบ ใจอยากทำไม่ต้องคิดว่าจะออกมา success หรือ achieve outcomes อะไร เหมือนตอนเด็ก ๆ ซึ่งเราไม่ได้ feel that innocence มานานละ ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้มานาน เพราะอยู่ใน role business มานานมาก ๆ ค่อย ๆ เริ่มจำได้ว่าเราชอบ art มากแค่ไหน ตอนนั้น how it lit me up from within
ก็เลย เริ่มเห็น possibility ใหม่ ๆ ที่เป็นไปได้ของชีวิตตัวเอง ถ้าเราไม่ได้ทำ business เราก็ทำอย่างอื่นได้ เหย จริง ๆ แล้วชีวิตเราเลือกได้นิหน่า it’s really up to us. There’s really nothing to restraint you บางครั้งเราใช้ชีวิต แล้วเราลืมไป
แล้วจริง ๆ artistic, creative เป็นด้านที่ตั้งแต่เด็ก ๆ เราสนุกกับมันมาตลอดนะ
เลยเริ่มสังเกตว่า มีจุดเดียวที่รู้สึกติดในใจคือ master degree รู้สึกในใจว่ามันเริ่มไม่ใช่สำหรับเราและ
พอถึงเดือน Oct-Nov เรารู้ชัดละ แต่ใช้เวลาสู้กันภายในตัวเองเยอะ กว่าจะยอมรับจริง ๆ
มันคือแบบจุดที่เรา realize ว่าชีวิตแบบที่เราเคยใช้มา has served enough purpose already งานที่ทำมาต่าง ๆ career ที่เคยมี has served enough purpose แล้ว
ณ จุดนั้นคือ heart กะ soul อยากทำอย่างอื่นที่ align มากกว่าละ that little dream ที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ต้องรอก่อน รออนาคตก่อน รอสักวันถึงจะทำ คือแบบ soul ไม่อยากรอแล้ว
แล้วรู้สึกเลยว่า เมื่อก่อนที่แบบพยายาม push through เวลาทำงานอ่ะ ทำได้ ทำได้เยอะเลยนะ แต่ ณ จุดนั้นเหมือน soul มัน coming out more than before จน ignore ไม่ได้ soul/heart บอกว่า ไป live life that you always yearning to live deep down inside เถอะ
เลยแบบ omg ตอนนั้นแบบไม่อยากเรียนแล้ว
เอาจริง ๆ ก็ยากนะ กว่าจะยอม interrupt เพราะกลัวดูไม่ดี เป็นคนที่เรียน ทำงาน รับผิดชอบให้ถึงที่สุดมาตลอด โตมาคือแบบการเรียนไม่จบดูเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ แต่สุดท้าย when I did คือ โล่งใจ happy ที่สุด
ก็หลังจากนั้นก็ย้ายไปที่ Nottingham เอาจริง ๆ ช่วงเวลานั้นจนถึง Oct แทบจะเป็นการอยู่กะตัวเอง เข้าใจตัวเองใน version ใหม่ แล้วก็ explore ข้างใน เพราะว่าที่ผ่านมา ยุ่ง ไม่มีเวลา หรือว่ามีอะไรข้างในก็ by pass , suppress, numbing out life, reactive ไป จนช่วงเวลานี้ ถึงได้มาเข้าใจตัวเองมากขึ้น ซึ่งแก ในภาพทั่วไป คือกิจวัตร ตื่นมา แทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ตื่นมา นั่งสมาธิ ดูว่าใจอยากทำอะไรวันนี้ก็ทำ ทำอาหารเยอะมาก ๆ grocery shopping ไปเดินสวน และทำอาหาร ออกกำลังกาย นิสัยเก่าที่แบบต้องการ maximum productivity ก็ตีวกกลับมาว่า เอ้ย ต้องทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมั้ย หรือยังไง แต่สุดท้ายก็พบว่า มันเป็น process ที่ต้อง go through แล้วถ้าพยายามจะ by pass process ก็จะ end up in the same old loop แล้วเวลาทำตาม soul path things won’t be like 1,2,3,4 so clear or easy to follow เพราะ soul แต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องพยายามเข้าใจ soul ตัวเอง แกะออกมาว่าเป็นยังไง เหมือนสร้าง relationship กับ soul ตัวเองจนเข้าใจเพื่อนแท้คนนี้จริงๆ ว่าเขาเป็นยังไง
เพราะฉะนั้นบอกเลยว่าใช้เวลาม๊ากและไม่ชัดเจนมากมาย 555
แต่พอ act on it มันรู้สึกใช่ หรือรู้สึก feel right ระดับหนึ่ง อาจจะใช้เวลาทำไปก่อน จนกว่าจะรู้สึก feel right จริง ๆ เพราะว่า path นี้มันคือเรื่องของ energy เราต้องสร้าง momentum or energy มันก็จะ forge path ขึ้นมามากขึ้นเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ
เราเชื่อว่า soul path ห่างไกลคำว่า static well laid path มาก ๆ มันเหมือนเป็น living being ที่เรา interact กับเขา แล้วค่อย ๆ สร้าง path ร่วมกันมากกว่า คนหลายคนกลัวเดินทางไปแล้ว miss out or miss step on soul path เราเชื่อว่ามันไม่มี miss step หรอก แค่เราต้องคอยฟังเขา soul path มัน adaptive, fluid กว่าที่เราคิด soul เป็น intelligent force
ตลอดระยะเวลานั้น อีกช่องทางในการ process สิ่งที่เกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ก็คือ การเขียน blog ทำ post ลงไอจีนี่แหละ ก็อาจจะงง ๆ กันว่าเขียนอะไรนิ
ยากที่สุด คือ การ cope กับ pace ใหม่ pace ใหม่ที่เราเดินบนทางนี้คือ ไปช้า ๆ feminine energy มาก ไม่เหมือนเวลาเราทำงานประจำ เราจะสามารถ expect ได้ว่า วันนี้ต้องทำอะไร งานนี้ต้องส่งวันไหน แล้ว manage งาน แต่อันนี้คือ เราต้องนั่งฟังข้างในตัวเอง แล้วค่อย ๆ act on ซึ่ง most of the time จะเป็นสิ่งที่เราฟังแล้ว แบบ “จริงเหรอ?! อะไรนิ?! เป็นไปได้ด้วยเหรอนิ ไม่ make sense เลย” เช่น จำได้เลย ตอนนั้น intuition whisper เรื่องซื้อกล้องดี ๆ แบบ professional ซึ่งถ้าทั่วไป ก็จะแบบ ซื้อกล้องราคาขนาดนี้ ก็ต้องมีแผนที่ reasonable ที่จะเอาไปใช้ หรือว่าฝึกกับกล้องอื่นไปก่อนมั้ย ทำไมต้องซื้อแพงจัง ยังไม่รู้ด้วยว่าจะ commit ให้คุ้มค่ากล้องได้แค่ไหน
แต่พอตอนนี้มองย้อนกลับไป คือ ขอบคุณตัวเองที่ซื้อ มันดีมากจริง ๆ เพราะเราไม่มีทางรู้ด้วย mind… what amazing thing.. it will lead me to
ตอนนี้ผ่านมาเกือบปีแล้ว เราเพิ่งจะเห็นภาพจริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นในภาพรวม เลยมาเขียนได้ ไม่น่าเชื่อ 1 ปีที่แล้ว ชั้นยังนั่งอยู่ที่ park bench ของ Aurthur’s seat ยังไม่รู้จะทำอะไรอยู่เลย
ตอนนี้ officially เริ่ม self-employment journey กำลังทำโปรเจคใหม่ ๆ อยู่ เดี๋ยวรอติดตามชมนะคะ